ข้ามไปเนื้อหา

ผลต่างระหว่างรุ่นของ "คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย"

พิกัด: 13°44′13″N 100°31′59″E / 13.73694°N 100.53306°E / 13.73694; 100.53306
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
King901 (คุย | ส่วนร่วม)
ป้ายระบุ: แก้ไขด้วยอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขด้วยเว็บอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขขั้นสูงด้วยอุปกรณ์เคลื่อนที่
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 5: บรรทัด 5:
| former_name = โรงเรียนยันตรศึกษาแห่งโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของ[[พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]]
| former_name = โรงเรียนยันตรศึกษาแห่งโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของ[[พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]]
| establish_date = {{start date and age2|2460|3|26}}
| establish_date = {{start date and age2|2460|3|26}}
| คณบดี = .ดร.[[สุพจน์ เตชวรสินสกุล]]<ref>{{Cite web |url=http://www.eng.chula.ac.th/intaniaweb2013/administrative_team |title=สำเนาที่เก็บถาวร |access-date=2013-10-18 |archive-date=2014-08-20 |archive-url=https://web.archive.org/web/20140820122014/http://www.eng.chula.ac.th/intaniaweb2013/administrative_team |url-status=dead }}</ref>
| คณบดี = รศ.ดร.วิทยา วัณณสุโภประสิทธิ์<ref>{{Cite web |url= https://www.eng.chula.ac.th/th/faculty/administration}}</ref>
| สีประจำคณะ = {{แถบสีสามกล่อง|darkred}} [[สีแดง|สีเลือดหมู]]
| สีประจำคณะ = {{แถบสีสามกล่อง|darkred}} [[สีแดง|สีเลือดหมู]]
| สัญลักษณ์คณะ = เกียร์
| สัญลักษณ์คณะ = เกียร์
บรรทัด 242: บรรทัด 242:


== อันดับและมาตรฐานของคณะ ==
== อันดับและมาตรฐานของคณะ ==
ผลการจัดอันดับในกลุ่มสาขาวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี จาก QS world university ranking by subject<ref name=":0" /> จาก Quacquarelli Symonds (QS) พบว่าคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับการจัดอันดับให้เป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย อันดับที่ 147 ของโลก  นอกจากนั้นยังมีผลการจัดอันดับแยกตามรายวิชาซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ผลการจัดอันดับในกลุ่มสาขาวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี จาก QS world university ranking by subject<ref name=":0" /> จาก Quacquarelli Symonds (QS) พบว่าคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับการจัดอันดับให้เป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย อันดับที่ 147 ของโลก &nbsp;นอกจากนั้นยังมีผลการจัดอันดับแยกตามรายวิชาซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
{| class="wikitable"
{| class="wikitable"
! style="background: Darkred; color: white; "|สาขา
! style="background: Darkred; color: white; "|สาขา

รุ่นแก้ไขเมื่อ 14:01, 1 กรกฎาคม 2567

คณะวิศวกรรมศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Faculty of Engineering,
Chulalongkorn University
สัญลักษณ์คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ชื่อเดิมโรงเรียนยันตรศึกษาแห่งโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
สถาปนา26 มีนาคม พ.ศ. 2460; 107 ปีก่อน (2460-03-26)
คณบดีรศ.ดร.วิทยา วัณณสุโภประสิทธิ์[1]
ที่อยู่
วารสารช่างพูด
เพลงปราสาทสีแดง
สี  สีเลือดหมู
มาสคอต
เกียร์
เว็บไซต์www.eng.chula.ac.th
ตึก 1 คณะวิศวกรรมศาสตร์ ในปี พ.ศ. 2566

คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นคณะวิศวกรรมศาสตร์ในประเทศไทยที่เก่าแก่ที่สุด[2] และเป็น 1 ใน 4 คณะแรกตั้งของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถือกำเนิดมาจากโรงเรียนยันตรศึกษาแห่งโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถือเป็นคณะที่มีจำนวนรุ่นมากที่สุดในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยในปีการศึกษา 2567 เป็นรุ่นที่ 108 คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีหน้าที่หลักในการผลิตบัณฑิตวิศวกรรมศาสตร์ทั้งในระดับปริญญาบัณฑิตและบัณฑิตศึกษา ศึกษาวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ทางวิศวกรรมศาสตร์และเผยแพร่องค์ความรู้สู่ประชาชนทั่วไป เพื่อเป็นที่พึ่งพิงทางวิชาการให้กับประเทศ มีงานวิจัยและความร่วมมือทางวิชาการซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับชาติและระดับนานาชาติ ปัจจุบันมีภาควิชาทั้งหมด 12 ภาควิชา[3]และหน่วยงานเทียบเท่าภาควิชาอีก 2 หน่วยงาน นิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ มักเรียกแทนตัวเองว่า "อินทาเนีย"

คณะวิศวกรรมศาสตร์ตั้งอยู่ในพื้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยฝั่งถนนอังรีดูนังต์ ด้านข้างหอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

การจัดอันดับในกลุ่มสาขาวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี จาก QS World University Rankings by subject[4] พบว่า คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับการจัดอันดับให้เป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย อันดับที่ 147 ของโลก และเป็นคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่มีสาขาวิชาติดอันดับโลกมากที่สุดในประเทศไทย

ประวัติคณะ

ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น พระองค์มีพระประสงค์ให้จัดตั้งโรงเรียนสำหรับฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่ายพลเรือนขึ้นในพระบรมมหาราชวังตึกยาว ข้างประตูพิมานไชยศรีตรงข้ามกับศาลาสหทัยสมาคมในปี พ.ศ. 2442 [ประเทศไทยเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ตามปฏิทินสากลในปี พ.ศ. 2483 (ค.ศ. 1940) ดังนั้น พ.ศ. กับ ค.ศ. ก่อนหน้านี้จึงเหลื่อมกันอยู่ 1 ปี] และได้รับพระบรมราชานุญาตให้เปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนมหาดเล็ก เมื่อ 1 เมษายน พ.ศ. 2445 ทั้งนี้เพื่อผลิตบุคลากรให้รับราชการซึ่งมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว อันเป็นผลจากพระบรมราโชบายปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดินเมื่อ พ.ศ. 2425

เกียร์ สัญลักษณ์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์

ต่อมาเมื่อถึงต้นรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงเรียน "มหาดเล็ก" โดยเติมคำว่า "หลวง" ต่อท้ายอีกคำหนึ่ง ณ ตำบลดุสิต (คือโรงเรียนวชิราวุธในปัจจุบัน) แทนการสร้างวัดตามขัตติยราชประเพณี ส่วนโรงเรียนมหาดเล็กเดิมนั้น ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเป็น "โรงเรียนข้าราชการพลเรือนแห่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" และเพื่อให้เป็นไปตามพระราชประสงค์ของสมเด็จพระชนกนาถเพื่อเป็นกตัญญูกตเวทีธรรมสืบไป ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้วางแผนการจัดสร้างโรงเรียนข้าราชการพลเรือนโดยไม่ขึ้นแก่กระทรวงใด ๆ อันนับว่าเป็นรากเหง้าของมหาวิทยาลัยตั้งแต่นั้น โดยมีพระราชประสงค์จะให้มีการเรียนทางด้านรัฐประศาสนศาสตร์ แพทยศาสตร์ เกษตรศาสตร์ กฎหมาย ครุศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์

ลานเกียร์ กลางคณะวิศวกรรมศาสตร์

แต่ในสมัยนั้นกระทรวงธรรมการเป็นผู้จัดการราชแพทยาลัยและโรงเรียนฝึกหัดอาจารย์อยู่ ส่วนโรงเรียนกฎหมายนั้นก็อยู่ในการดูแลของกระทรวงยุติธรรม เมื่อ พ.ศ. 2454 กระทรวงเกษตราธิการได้โอนโรงเรียนเกษตรแผนกวิศวกรรมการคลอง 1 มาให้กับโรงเรียนข้าราชการพลเรือน 1 (ซึ่งตั้งอยู่ที่วังใหม่ ปทุมวัน เป็นตึกแบบปราสาทวินเซอร์ ซึ่งต่อมาถูกเรียกว่า "หอวัง" ก่อนที่จะถูกรื้อถอนสร้างเป็นสนามกีฬาแห่งชาติ) ซึ่งในสมัยนั้นกระทรวงเกษตรยังไม่มีความประสงค์ที่จะรับผู้ที่สำเร็จในวิชาแผนกเกษตรศาสตร์มารับราชการ จึงมอบให้พระอนุยุตยันตรกรรมซึ่งย้ายจากกรมแผนที่มายังโรงเรียนข้าราชการพลเรือนมาดูแลแทน

เมื่อ พ.ศ. 2455 ทหารบก ทหารเรือ กรมรถไฟ กรมชลประทาน ฯลฯ เป็นต้น ต่างก็ต้องการนักเรียนที่สำเร็จวิชานี้มาก เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีได้มาเป็นผู้บัญชาการโรงเรียนข้าราชการพลเรือน จึงได้ให้จัดการตั้งโรงเรียนช่างกลขึ้น วางหลักสูตรหาอาจารย์มาเพิ่มเติมให้ได้มากที่สุด และได้นักเรียนช่างกลชุดแรกจากโรงเรียนเกษตรวิศวกรรมการคลองที่เลิกไปมาประมาณ 30-40 คน โดยสถานที่ของโรงเรียนเกษตรนั้นได้จัดตั้งเป็นโรงเรียนช่างกลขึ้นและได้เปิดสอน รับสมัครนักเรียนภายนอกเรียกว่า "โรงเรียนยันตรศึกษาแห่งโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" นับตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2456 เป็นต้นมา ซึ่งสามารถกล่าวได้ว่านี่คือจุดกำเนิดของคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

พอได้รับโอนโรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ของกระทรวงธรรมการ ซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านสมเด็จ มาเป็นแผนกคุรุศึกษาของโรงเรียนราชการพลเรือนแล้ว (โรงเรียนรัฐประศาสนศาสตร์ตั้งอยู่ในพระบรมมหาราชวัง โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ตั้งอยู่ที่บ้านสมเด็จเจ้าพระยา โรงเรียนราชแพทยาลัยตั้งอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช โรงเรียนเนติศึกษาตั้งอยู่ที่เชิงสะพานผ่านพิภพลีลา) จึงได้ย้ายโรงเรียนต่าง ๆ มารวมกันกับโรงเรียนยันตรศึกษาที่วังใหม่ ตำบลสระปทุม และได้วางระเบียบเครื่องแต่งกายและสีแถบคอเสื้อของแต่ละแผนก แผนกยันตรศึกษาได้รับสีเลือดหมู ครุศาสตร์ได้รับสีเหลือง แพทยศาสตร์ได้รับสีเขียว และรัฐประศาสนศาสตร์ได้รับสีดำ และมอบให้พระยาวิทยาปรีชามาตย์ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนคุรุศึกษามาทำหน้าที่ผู้อำนวยโรงเรียนยันตรศึกษาอีกตำแหน่งหนึ่ง ตั้งแต่ พ.ศ. 2458

โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้พระราชทานเงินทุนที่เหลือจากการที่ราษฎรได้เรี่ยไรเพื่อสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบรมรูปทรงม้าจำนวนเก้าแสนกว่าบาทให้ใช้เพื่อสร้างอาคารเรียนและเป็นตึกบัญชาการบนที่ดินของพระคลังข้างที่จำนวน 1,309 ไร่ ซึ่งอยู่ที่อำเภอปทุมวัน และเงินที่เหลือจากการสร้างก็ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้เพื่อกิจการของโรงเรียนต่อไป ทั้งนี้ได้พระราชพระมหากรุณาธิคุณเสด็จพระราชดำเนิน และทรงวางศิลาฤกษ์ในการสร้างอาคารดังกล่าวเมื่อ 3 มกราคม พ.ศ. 2458

ในสมัยนั้นโรงเรียนยันตรศึกษาได้รับนักเรียนที่สำเร็จชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 6 ของกระทรวงธรรมการ การเรียนในขั้นแรกนี้กำหนดหลักสูตรให้เรียนในโรงเรียนเพียง 3 ปีสำเร็จแล้ว ต้องออกฝึกหัดการงานในสถานที่ ซึ่งโรงเรียนเห็นชอบด้วยอีก 3 ปี และเมื่อโรงเรียนได้รับรายงานเป็นที่พอใจแล้ว จึงจะยอมรับว่าการเรียนนั้นจบบริบูรณ์ตามหลักสูตร และยอมออกประกาศนียบัตรให้ได้

ต่อมาในปี พ.ศ. 2459 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชดำริที่จะขยายการศึกษาในโรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น คือ ไม่เฉพาะสำหรับผู้ที่จะเล่าเรียนเพื่อรับราชการเท่านั้น แต่จะรับผู้ซึ่งประสงค์จะศึกษาขั้นสูง ให้เข้าเรียนได้ทั่วถึงกัน จึงได้ทรงพระกรุณาฯ โปรดเกล้าให้สถาปนาโรงเรียนข้าราชการพลเรือนขึ้นเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อ 26 มีนาคม พ.ศ. 2459 โรงเรียนยันตรศึกษาก็ได้เปลี่ยนเป็น คณะวิศวกรรมศาสตร์ และได้รับนักเรียนที่สำเร็จชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 8 ของกระทรวงธรรมการ และขยายเวลาเรียนไปเป็น 4 ปี และย้ายสถานที่เรียนจากหอวัง ไปเรียนที่ตึกใหญ่ริมสนามม้าซึ่งเริ่มสร้างขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2461 เป็นตึกใหญ่มีบันไดเป็นตัวนาคมีหัวแผ่ 7 หัว แต่หลังคามุงไว้ด้วยใบจากเป็นการชั่วคราว เพราะกระเบื้องเคลือบยังทำไม่เสร็จ แผนกรัฐประศาสนศึกษาก็เปลี่ยนชื่อเป็นคณะรัฐประศาสนศาสตร์ แล้วก็ย้ายมาอยู่ตึกใหม่นี้ด้วยกัน แต่ห้องเรียนของคณะรัฐประศาสนศาสตร์นั้นอยู่ชั้นบน คณะวิศวกรรมศาสตร์อยู่ชั้นล่าง (ตึกใหม่นี้เองกลายเป็นตึกเรียนของคณะอักษรศาสตร์ต่อมา ส่วนคณะวิศวกรรมศาสตร์นั้นย้ายไปเรียนที่ตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์ 1 ในอีกเกือบ 20 ปีถัดมาในปีพ.ศ. 2478) ส่วนโรงเรียนข้าราชการพลเรือนก็เปลี่ยนสภาพเป็น "คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์" ไป และตัววังใหม่เองก็กลายเป็น "โรงเรียนมัธยมหอวัง" ใช้เป็นที่ฝึกสอนของนิสิตในแผนกคุรุศึกษาไปด้วย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในช่วงแรกจึงมีการจัดการศึกษาเป็น 4 คณะ ได้แก่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ คณะรัฐประศาสนศาสตร์ และคณะแพทยศาสตร์

ครั้นถึงปี พ.ศ. 2476 ทางราชการเห็นสมควรให้มีการจัดการเรียนการสอนของคณะวิศวกรรมศาสตร์ถึงขั้นปริญญา จนในวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2478 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินในงานพระราชทานปริญญาวิศวกรรมศาสตร์บัณฑิตครั้งแรกที่ตึกวิศวกรรมศาสตร์ 1 ห้อง 1112 (แต่ขณะนั้นตัวตึกทั้งสองนี้เป็นตึก 2 ชั้นเท่านั้น มาต่อเสริมเพิ่มเป็น 3 ชั้นเมื่อ พ.ศ. 2495) ในปีเดียวกันนั้นเองได้มีการเปิดแผนกวิศวกรรมช่างอากาศขึ้น ด้วยความร่วมมือช่วยเหลือจากกองทัพอากาศ กระทรวงกลาโหมจัดส่งนายทหารฝ่ายเทคนิคช่างอากาศมาช่วยสอนและใช้โรงงานทหารอากาศ ณ บางซื่อ และดอนเมือง เป็นที่ฝึกงาน

คณะวิศวกรรมศาสตร์นั้นแยกออกได้เป็น 3 ยุค คือ ยุคต้น มีอายุ 5 ปี ตอนเป็นโรงเรียนข้าราชการพลเรือน ยุคกลาง มีอายุ 17 ปี ตอนเริ่มเป็นมหาวิทยาลัย และยุคปัจจุบัน ตั้งแต่ พ.ศ. 2478 เป็นต้นมา ในยุคแรกและยุคกลางคณะวิศวกรรมศาสตร์ได้ทำการสอนวิชาคณิตศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ และวิชาภาษาอังกฤษเอง แต่พอ "คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์" ได้ย้ายมาอยู่ที่ตึกอักษรศาสตร์ปัจจุบัน นักเรียนวิศวกรรมศาสตร์จึงได้ไปเรียนวิชาวิทยาศาสตร์และวิชาภาษาอังกฤษรวมกับนิสิตวิทยาศาสตร์ ทั้งนี้เพราะอาจารย์ในคณะวิศวกรรมศาสตร์มีเพียง 5–6 คน ไม่พอที่จะทำการสอนได้หมดทุกวิชาที่มีอยู่ในหลักสูตร อีกทั้งเครื่องมือเครื่องทดลองทางวิทยาศาสตร์ของคณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ก็มีพร้อมมูลกว่า จึงเป็นโอกาสดีที่คณะวิศวกรรมศาสตร์จะได้ขยับขยายผ่อนให้นิสิตของตนได้ไปรับการฝึกสอนจากคณะอื่นให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

ในปี พ.ศ. 2481 คณะวิศวกรรมศาสตร์รับสมัครแต่ผู้ที่สำเร็จชั้นประโยคมัธยมบริบูรณ์ของกระทรวงธรรมการหรือเทียบเท่า โดยผู้ที่จะเข้าเรียนจะต้องผ่านการสอบคัดเลือกของมหาวิทยาลัยเสียก่อน และมีใช้เวลาในการเรียนเป็นเวลา 4 ปี ในปีเดียวกันนั้นเอง ได้มีการจัดตั้งโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โรงเรียนนี้มีนักเรียนเตรียมวิศวกรรมศาสตร์เป็นรุ่นแรกอยู่ด้วย มีจำนวน 99 คน ต่อไปผู้ที่จะเข้าศึกษาในคณะวิศวกรรมศาสตร์ เมื่อสำเร็จชั้นมัธยมปีที่ 6 ของกระทรวงธรรมการแล้ว จะต้องเข้าเรียนวิชาเตรียมวิศวกรรมศาสตร์เสียก่อนสองปี เมื่อสอบได้แล้วจึงจะผ่านโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา มาเป็นนิสิตในคณะวิศวกรรมศาสตร์ได้

จนในปี พ.ศ. 2489 กระทรวงศึกษาธิการได้เปิดให้จัดการศึกษาชั้นเตรียมอุดมศึกษาเพิ่มขึ้นตามโรงเรียนของกระทรวงอีกหลายแห่ง ทั้งยังอนุญาตให้โรงเรียนราษฎร์ที่ได้รับการเทียบเท่าวิทยฐานะเท่าโรงเรียนของกระทรวงศึกษาธิการอยู่แล้ว เปิดการสอนถึงขั้นเตรียมอุดมศึกษาเพิ่มขึ้นจากมัธยมศึกษาปีที่ 6 ถึง 2 ปีด้วย ดังนั้น ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2491 เป็นต้นไป คณะวิศวกรรมศาสตร์จึงรับสมัครผู้ที่สำเร็จจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการหรือเทียบเท่าทุกแห่งโดยผู้ที่จะเข้าเรียน แต่จะต้องผ่านการสอบคัดเลือกของมหาวิทยาลัยเสียก่อน[5]

หน่วยงานและหลักสูตร

คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นคณะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำการเปิดสอนในหลากหลายสาขาวิชาทั้งในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก

หน่วยงาน ระดับปริญญาตรี ระดับปริญญาโท ระดับปริญญาเอก
ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์[6]

หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต

หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต

หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต

หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรดุษฎีบัณฑิต

ภาควิชาวิศวกรรมเคมี[7]

หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต

หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต

หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรดุษฎีบัณฑิต

ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล[8]

หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต

หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต

หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรดุษฎีบัณฑิต

ภาควิชาวิศวกรรมนิวเคลียร์[9]

หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต

  • สาขาวิชาวิศวกรรมนิวเคลียร์และรังสี

หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต

  • สาขาวิชาวิศวกรรมนิวเคลียร์

หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต

  • สาขาวิชานิวเคลียร์เทคโนโลยี

หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรดุษฎีบัณฑิต

  • สาขาวิชาวิศวกรรมนิวเคลียร์
ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า[10]

หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต

หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต

หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรดุษฎีบัณฑิต

ภาควิชาวิศวกรรมโยธา[11]

หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต

หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต

  • สาขาวิชาวิศวกรรมโยธา
  • สาขาวิชาโครงสร้างพื้นฐานทางวิศวกรรมโยธา (หลักสูตรนานาชาติ)

หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรดุษฎีบัณฑิต

ภาควิชาวิศวกรรมโลหการ[12]

หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต

  • สาขาวิชาวิศวกรรมโลหการและวัสดุ

หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต

  • สาขาวิชาวิศวกรรมโลหการและวัสดุ

หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรดุษฎีบัณฑิต

  • สาขาวิชาวิศวกรรมโลหการและวัสดุ
ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม[13]

หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต

หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต

หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรดุษฎีบัณฑิต

ภาควิชาวิศวกรรมสำรวจ[14]

หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต

หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต

หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรดุษฎีบัณฑิต

ภาควิชาวิศวกรรมแหล่งน้ำ[15]

หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต

หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรดุษฎีบัณฑิต

ภาควิชาวิศวกรรมเหมืองแร่
และปิโตรเลียม
[16]

หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต

หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต

  • สาขาวิชาวิศวกรรมทรัพยากรธรณีและปิโตรเลียม (หลักสูตรนานาชาติ)

โดยเป็นการควบรวมหลักสูตรสองหลักสูตรคือ สาขาวิชาวิศวกรรมปิโตรเลียม (หลักสูตรนานาชาติ) และสาขาวิชาวิศวกรรมทรัพยากรธรณี (หลักสูตรภาษาไทย)

ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ[17]

หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต

หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต

หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรดุษฎีบัณฑิต

ศูนย์ระดับภูมิภาคทางวิศวกรรมระบบการผลิต[18]

หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต

หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรดุษฎีบัณฑิต

หน่วยวิศวกรรมนานาชาติ
(ไอเอสอี)
[19]

หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต

หลักสูตรอื่น ๆ

หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต

  • สาขาวิชาการพัฒนาซอฟต์แวร์ (ปัจจุบันได้ปิดหลักสูตรและงดรับนิสิตไปแล้ว)

หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต

หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต

หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต

  • สาขาวิชาวิศวกรรมและเทคโนโลยีการป้องกันประเทศ
    • แขนงวิชาวิศวกรรมโยธาและวัตถุระเบิด
    • แขนงวิชาวิศวกรรมไฟฟ้าเพื่อการป้องกันประเทศ
    • แขนงวิชาวิศวกรรมเครื่องกลเพื่อการป้องกันประเทศ
    • แขนงวิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมเพื่อการป้องกันประเทศ
    • แขนงวิชาวิศวกรรมโลหการเพื่อการป้องกันประเทศ
    • แขนงวิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์เพื่อการป้องกันประเทศ
    • แขนงวิชาวิศวกรรมนิวเคลียร์เพื่อการป้องกันประเทศ

หลักสูตรวิทยาศาสตรดุษฎีบัณฑิต

อันดับและมาตรฐานของคณะ

ผลการจัดอันดับในกลุ่มสาขาวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี จาก QS world university ranking by subject[4] จาก Quacquarelli Symonds (QS) พบว่าคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับการจัดอันดับให้เป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย อันดับที่ 147 ของโลก  นอกจากนั้นยังมีผลการจัดอันดับแยกตามรายวิชาซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

สาขา อันดับโลก อันดับในประเทศ
วิศวกรรมเคมี* 51 – 100 1
วิศวกรรมโยธา 151 – 200 1 (ร่วม)
วิศวกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 151 – 200 1
วิศวกรรมเครื่องกล วิศวกรรมการบิน วิศวกรรมอุตสาหการ* 151 – 200 1

หมายเหตุ *เป็นแห่งเดียวในประเทศที่ติดอันดับ

บุคคล

คณบดี

รายนามคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีดังนี้

ทำเนียบคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รายนามคณบดี วาระการดำรงตำแหน่ง
1. มหาอำมาตย์ตรี พระยานิพัทธ์กุลพงศ์ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2460 – 30 กันยายน พ.ศ. 2464
2. มหาอำมาตย์ตรี พระยาวิทยาปรีชามาตย์ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2464 – 10 มิถุนายน พ.ศ. 2472
3. ศาสตราจารย์ พระเจริญวิศวกรรม 11 มิถุนายน พ.ศ. 2472 – 18 มิถุนายน พ.ศ. 2504
4. ศาสตราจารย์ พิเศษ ปัตตะพงศ์ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2504 – 24 สิงหาคม พ.ศ. 2512
5. ศาสตราจารย์ อรุณ สรเทศน์ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2512 – 30 กันยายน พ.ศ. 2515
6. ศาสตราจารย์ ดร.ชัย มุกตพันธุ์ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2515 – 31 ธันวาคม พ.ศ. 2517
7. ศาสตราจารย์ ดร.สุรินทร์ เศรษฐมานิต 31 มกราคม พ.ศ. 2518 – 30 มกราคม พ.ศ. 2522
8. ศาสตราจารย์ ดร.จรวย บุญยุบล 31 มกราคม พ.ศ. 2522 – 30 มกราคม พ.ศ. 2526
9. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ทวี เลิศปัญญาวิทย์ 31 มกราคม พ.ศ. 2526 – 30 มกราคม พ.ศ. 2534
10. รองศาสตราจารย์ ดร.ธัชชัย สุมิตร 31 มกราคม พ.ศ. 2534 – 30 มกราคม พ.ศ. 2538
31 มกราคม พ.ศ. 2542 – 30 มีนาคม พ.ศ. 2543
11. รองศาสตราจารย์ ดร.ณรงค์ อยู่ถนอม 31 มกราคม พ.ศ. 2538 – 30 มกราคม พ.ศ. 2542
12. ศาสตราจารย์ ดร.สมศักดิ์ ปัญญาแก้ว 1 เมษายน พ.ศ. 2543 – 31 มีนาคม พ.ศ. 2547
13. ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.ดิเรก ลาวัณย์ศิริ 1 เมษายน พ.ศ. 2547 – 24 มกราคม พ.ศ. 2551
14. รองศาสตราจารย์ ดร.บุญสม เลิศหิรัญวงศ์ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 – 30 กันยายน พ.ศ. 2556
15. ศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556 – 30 มิถุนายน พ.ศ. 2559
16. ศาสตราจารย์ ดร.สุพจน์ เตชะวรสินสกุล 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 – ปัจจุบัน

ศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียง

อ้างอิง

  1. https://www.eng.chula.ac.th/th/faculty/administration. {{cite web}}: |title= ไม่มีหรือว่างเปล่า (help)
  2. http://www.eng.chula.ac.th/node/13
  3. http://www.eng.chula.ac.th/academic/departments
  4. 4.0 4.1 https://www.topuniversities.com/subject-rankings/2017
  5. ประวัติคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  6. ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์
  7. ภาควิชาวิศวกรรมเคมี
  8. "ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-10-24. สืบค้นเมื่อ 2006-10-28.
  9. ภาควิชาวิศวกรรมนิวเคลียร์
  10. ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า
  11. ภาควิชาวิศวกรรมโยธา
  12. "ภาควิชาวิศวกรรมโลหการ". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-01-02. สืบค้นเมื่อ 2006-10-28.
  13. "ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-11-05. สืบค้นเมื่อ 2006-10-28.
  14. "ภาควิชาวิศวกรรมสำรวจ". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-12-14. สืบค้นเมื่อ 2006-10-28.
  15. ภาควิชาวิศวกรรมแหล่งน้ำ
  16. "ภาควิชาวิศวกรรมเหมืองแร่และปิโตรเลียม". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-10-08. สืบค้นเมื่อ 2006-10-28.
  17. ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ
  18. ศูนย์ระดับภูมิภาคทางวิศวกรรมระบบการผลิต
  19. หน่วยวิศวกรรมนานาชาติ(ไอเอสอี)

แหล่งข้อมูลอื่น

13°44′13″N 100°31′59″E / 13.73694°N 100.53306°E / 13.73694; 100.53306

pFad - Phonifier reborn

Pfad - The Proxy pFad of © 2024 Garber Painting. All rights reserved.

Note: This service is not intended for secure transactions such as banking, social media, email, or purchasing. Use at your own risk. We assume no liability whatsoever for broken pages.


Alternative Proxies:

Alternative Proxy

pFad Proxy

pFad v3 Proxy

pFad v4 Proxy