ในคณิตศาสตร์ เมทริกซ์ หรือ เมตริกซ์ (อังกฤษ : matrix ) คือตารางสี่เหลี่ยมที่แต่ละช่องบรรจุจำนวน หรือโครงสร้างทางคณิตศาสตร์ที่สามารถนำมาบวกและคูณกับตัวเลขได้
เราสามารถใช้เมทริกซ์แทนระบบสมการเชิงเส้น การแปลงเชิงเส้น และใช้เก็บข้อมูลที่ขึ้นกับตัวแปรต้น สองตัว เราสามารถบวก คูณ และแยกเมทริกซ์ออกเป็นผลคูณของเมทริกซ์ได้หลายรูปแบบ เมทริกซ์เป็นแนวความคิดที่มีความสำคัญยิ่งของพีชคณิตเชิงเส้น โดยทฤษฎีเมทริกซ์ เป็นสาขาหนึ่งของพีชคณิตเชิงเส้นที่เน้นการศึกษาเมทริกซ์
มีการประยุกต์ใช้เมทริกซ์ในหลากหลายสาขาของวิทยาศาสตร์ ในสาขาฟิสิกส์มีการประยุกต์ใช้เมทริกซ์ในทุก ๆ แขนงของฟิสิกส์ที่มีอยู่ เช่น กลศาสตร์ , ทัศนศาสตร์ , แม่เหล็กไฟฟ้า , กลศาสตร์ควอนตัม หรือ ไฟฟ้ากระแสควอนตัม มีการใช้ทฤษฎีเมทริกซ์ในการศึกษาปรากฎการณ์ทางฟิสิกส์ เช่น การเคลื่อนที่ของวัตถุ ในสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์มีการประยุกต์ใช้เมทริกซ์ในการทำคอมพิวเตอร์กราฟฟิก โดยใช้สร้างโมเดล 3 มิติ เพื่อแสดงผลบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เป็น 2 มิติ
ในทางสถิติศาสตร์ มีการใช้เมทริกซ์เฟ้นสุ่ม ในการอธิบายถึงชุด (set) ของความน่าจะเป็น อาทิ มีการประยุกต์ใช้ร่วมกับอัลกอริทึมแบบ PageRank ในการเรียงหน้าผลการค้นหาในเว็บไซต์เสิร์จเอนจินอย่าง Google ในการศึกษาแคลคูลัส มีการใช้แคลคูลัสเชิงเมทริกซ์ (Matrix calculus) ในการวิเคราะห์อนุพันธ์ (Derivative) และฟังก์ชันเลขชี้กำลัง ในมิติที่อยู่สูงขึ้นไป (Higher dimension) นอกจากนั้นยังมีการประยุกต์ใช้เมทริกซ์ในการอธิบายระบบความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ
เมทริกซ์ คือกลุ่มของจำนวนหรือสมาชิกของริง ใดๆ เขียนเรียงกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหรือจัตุรัส กล่าวคือเรียงเป็นแถวในแนวนอน และเรียงเป็นแถวในแนวตั้ง เรามักเขียนเมทริกซ์เป็นตารางที่ไม่มีเส้นแบ่งและเขียนวงเล็บ คร่อมตารางไว้ (ไม่ว่าจะเป็นวงเล็บโค้งหรือวงเล็บเหลี่ยม) เช่น
[
1
56
3
0
15
4
5
−
31
−
4
]
{\displaystyle {\begin{bmatrix}1&56&3\\0&15&4\\5&-31&-4\end{bmatrix}}}
เราเรียกแถวในแนวนอนของเมทริกซ์ว่า แถว เรียกแถวในแนวตั้งของเมทริกซ์ว่า หลัก และเรียกจำนวนแต่ละจำนวนเในเมทริกซ์ว่า สมาชิก ของเมทริกซ์ การกล่าวถึงสมาชิกของเมทริกซ์ จะต้องระบุตำแหน่งให้ถูกต้อง เช่น จากตัวอย่างข้างบน
สมาชิกที่อยู่ในแถวที่ 2 หลักที่ 3 คือเลข 4
สมาชิกที่อยู่ในแถวที่ 2 หลักที่ 2 คือเลข 15
สมาชิกที่อยู่ในแถวที่ 3 หลักที่ 1 คือเลข 5
เราเรียกเมทริกซ์ที่มี
m
{\displaystyle m}
แถว และ
n
{\displaystyle n}
หลัก เรียกว่า เมทริกซ์
m
×
n
{\displaystyle m\times n}
เราเรียกจำนวน
m
{\displaystyle m}
และ
n
{\displaystyle n}
ว่า มิติ หรือ ขนาด ของเมทริกซ์
เราใช้สัญลักษณ์
A
=
(
a
i
,
j
)
m
×
n
{\displaystyle A=(a_{i,j})_{m\times n}}
เพื่อหมายถึง เมทริกซ์
A
{\displaystyle A}
ซึ่งมี
m
{\displaystyle m}
แถว และ
n
{\displaystyle n}
หลัก โดยที่
a
i
,
j
{\displaystyle a_{i,j}}
(หรือ
a
i
j
{\displaystyle a_{ij}}
) หมายถึง สมาชิกที่อยู่ในตำแหน่ง แถว
i
{\displaystyle i}
และ หลัก
j
{\displaystyle j}
ของเมทริกซ์
A
=
A
m
×
n
=
[
a
11
a
12
⋯
⋯
a
1
n
a
21
a
22
⋯
⋯
a
2
n
⋮
⋱
⋮
⋮
⋱
⋮
a
m
1
a
m
2
⋯
⋯
a
m
n
]
{\displaystyle A=A_{m\times n}={\begin{bmatrix}a_{11}&a_{12}&\cdots &\cdots &a_{1n}\\a_{21}&a_{22}&\cdots &\cdots &a_{2n}\\\vdots &&\ddots &&\vdots \\\vdots &&&\ddots &\vdots \\a_{m1}&a_{m2}&\cdots &\cdots &a_{mn}\\\end{bmatrix}}}
การกระทำระหว่างเมทริกซ์[ แก้ ]
ให้
A
=
(
a
i
,
j
)
m
×
n
{\displaystyle A=(a_{i,j})_{m\times n}}
และ
B
=
(
b
i
,
j
)
m
×
n
{\displaystyle B=(b_{i,j})_{m\times n}}
เป็นเมทริกซ์ที่มีขนาดเท่ากันสองเมทริกซ์ เราสามารถนิยาม ผลรวม หรือ ผลบวก
A
+
B
{\displaystyle A+B}
ว่าเป็นเมทริกซ์ขนาด
m
×
n
{\displaystyle m\times n}
ที่คำนวณโดยการบวกสมาชิกที่มีตำแหน่งตรงกัน กล่าวคือ หาก
C
=
(
c
i
,
j
)
m
×
n
=
A
+
B
{\displaystyle C=(c_{i,j})_{m\times n}=A+B}
แล้ว
c
i
,
j
=
a
i
,
j
+
b
i
,
j
{\displaystyle c_{i,j}=a_{i,j}+b_{i,j}}
ยกตัวอย่างเช่น
[
1
3
2
1
0
0
1
2
2
]
+
[
0
0
5
7
5
0
2
1
1
]
=
[
1
+
0
3
+
0
2
+
5
1
+
7
0
+
5
0
+
0
1
+
2
2
+
1
2
+
1
]
=
[
1
3
7
8
5
0
3
3
3
]
{\displaystyle {\begin{bmatrix}1&3&2\\1&0&0\\1&2&2\end{bmatrix}}+{\begin{bmatrix}0&0&5\\7&5&0\\2&1&1\end{bmatrix}}={\begin{bmatrix}1+0&3+0&2+5\\1+7&0+5&0+0\\1+2&2+1&2+1\end{bmatrix}}={\begin{bmatrix}1&3&7\\8&5&0\\3&3&3\end{bmatrix}}}
การบวกเมทริกซ์อีกแบบหนึ่งที่เป็นที่นิยมน้อยกว่าคือการบวกตรง
กำหนดเมทริกซ์
A
=
(
a
i
,
j
)
m
×
n
{\displaystyle A=(a_{i,j})_{m\times n}}
และจำนวน
c
{\displaystyle c}
เราสามารถนิยาม ผลคูณสเกลาร์
c
A
{\displaystyle cA}
ว่าเป็นเมทริกซ์ขนาด
m
×
n
{\displaystyle m\times n}
ที่คำนวณโดยการนำ
c
{\displaystyle c}
ไปคูณสมาชิกแต่ละตัวของ
A
{\displaystyle A}
กล่าวคือ หาก
B
=
(
b
i
,
j
)
m
×
n
=
c
A
{\displaystyle B=(b_{i,j})_{m\times n}=cA}
แล้ว
b
i
,
j
=
c
a
i
,
j
{\displaystyle b_{i,j}=ca_{i,j}}
ยกตัวอย่างเช่น
2
[
1
8
−
3
4
−
2
5
]
=
[
2
×
1
2
×
8
2
×
−
3
2
×
4
2
×
−
2
2
×
5
]
=
[
2
16
−
6
8
−
4
10
]
{\displaystyle 2{\begin{bmatrix}1&8&-3\\4&-2&5\end{bmatrix}}={\begin{bmatrix}2\times 1&2\times 8&2\times -3\\2\times 4&2\times -2&2\times 5\end{bmatrix}}={\begin{bmatrix}2&16&-6\\8&-4&10\end{bmatrix}}}
จะเห็นว่า ปฏิบัติการทั้งสองข้างต้น (การบวกและการคูณด้วยสเกลาร์) ช่วยให้เราสามารถมองเมทริกซ์ขนาด
m
×
n
{\displaystyle m\times n}
ว่าเป็นเวกเตอร์ ที่มีมิติ
m
n
{\displaystyle mn}
ด้วยเหตุนี้ เซตของเมทริกซ์ที่มีขนาดเท่ากับจึงเป็นปริภูมิเวกเตอร์ ชนิดหนึ่ง
ถ้า
A
=
(
a
i
,
j
)
m
×
n
{\displaystyle A=(a_{i,j})_{m\times n}}
และ
B
=
(
b
i
,
j
)
n
×
p
{\displaystyle B=(b_{i,j})_{n\times p}}
เป็นเมทริกซ์สองเมทริกซ์โดยที่จำนวนหลักของ
A
{\displaystyle A}
เท่ากับจำนวนแถวของ
B
{\displaystyle B}
แล้ว เราสามารถนิยาม ผลคูณ
A
B
{\displaystyle AB}
ว่าเป็นเมทริกซ์
C
=
(
c
i
,
j
)
m
×
p
{\displaystyle C=(c_{i,j})_{m\times p}}
โดยที่
c
i
,
j
=
a
i
,
1
b
1
,
j
+
a
i
,
2
b
2
,
j
+
⋯
+
a
i
,
n
b
n
,
j
=
∑
k
=
1
n
a
i
,
k
b
k
,
j
{\displaystyle c_{i,j}=a_{i,1}b_{1,j}+a_{i,2}b_{2,j}+\cdots +a_{i,n}b_{n,j}=\sum _{k=1}^{n}a_{i,k}b_{k,j}}
กล่าวคือสมาชิกในแถว
i
{\displaystyle i}
หลัก
j
{\displaystyle j}
ของผลคูณ
A
B
{\displaystyle AB}
คำนวณได้จากการนำสมาชิกของหลัก
i
{\displaystyle i}
ของ
A
{\displaystyle A}
และสมาชิกของคอลัมน์
B
{\displaystyle B}
ในตำแหน่ง "เดียวกัน" มาคูณกัน แล้วนำผลคูณทั้ง
n
{\displaystyle n}
ผลคูณนั้นมาบวกกัน
การคูณนี้อาจทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นถ้ามองเมทริกซ์เป็นjเวกเตอร์ ของเวกเตอร์ โดยถ้าเราให้
a
i
=
(
a
i
,
1
,
a
i
,
2
,
…
,
a
i
,
n
)
{\displaystyle a_{i}=(a_{i,1},a_{i,2},\ldots ,a_{i,n})}
เป็นเวกเตอร์ที่มีสมาชิกเป็นสมาชิกในแถว
i
{\displaystyle i}
ของ
A
{\displaystyle A}
และให้
b
j
=
(
b
1
,
j
,
b
2
,
j
,
…
,
b
n
,
j
)
{\displaystyle b_{j}=(b_{1,j},b_{2,j},\ldots ,b_{n,j})}
เป็นเวกเตอร์ที่มีสมาชิกเป็นสมาชิกในหลัก
j
{\displaystyle j}
ของ
B
{\displaystyle B}
แล้ว เราจะได้ว่า
c
i
,
j
=
a
i
⋅
b
j
{\displaystyle c_{i,j}=a_{i}\cdot b_{j}}
เมื่อ
a
i
⋅
b
j
{\displaystyle a_{i}\cdot b_{j}}
คือผลคูณจุด ของ
a
i
{\displaystyle a_{i}}
และ
b
j
{\displaystyle b_{j}}
เช่น
ให้
A
=
[
a
1
,
1
a
1
,
2
a
1
,
3
a
2
,
1
a
2
,
2
a
2
,
3
]
=
[
a
1
a
2
]
{\displaystyle A={\begin{bmatrix}a_{1,1}&a_{1,2}&a_{1,3}\\a_{2,1}&a_{2,2}&a_{2,3}\\\end{bmatrix}}={\begin{bmatrix}a_{1}\\a_{2}\\\end{bmatrix}}}
และ
B
=
[
b
1
,
1
b
1
,
2
b
2
,
1
b
2
,
2
b
3
,
1
b
3
,
2
]
=
[
b
1
b
2
]
{\displaystyle B={\begin{bmatrix}b_{1,1}&b_{1,2}\\b_{2,1}&b_{2,2}\\b_{3,1}&b_{3,2}\\\end{bmatrix}}={\begin{bmatrix}b_{1}&b_{2}\\\end{bmatrix}}}
แล้ว
A
×
B
=
[
a
1
⋅
b
1
a
1
⋅
b
2
a
2
⋅
b
1
a
2
⋅
b
2
]
{\displaystyle A\times B={\begin{bmatrix}a_{1}\cdot b_{1}&a_{1}\cdot b_{2}\\a_{2}\cdot b_{1}&a_{2}\cdot b_{2}\\\end{bmatrix}}}
และ
[
1
0
2
−
1
3
1
]
×
[
3
1
2
1
1
0
]
=
[
(
1
×
3
+
0
×
2
+
2
×
1
)
(
1
×
1
+
0
×
1
+
2
×
0
)
(
−
1
×
3
+
3
×
2
+
1
×
1
)
(
−
1
×
1
+
3
×
1
+
1
×
0
)
]
=
[
5
1
4
2
]
{\displaystyle {\begin{bmatrix}1&0&2\\-1&3&1\\\end{bmatrix}}\times {\begin{bmatrix}3&1\\2&1\\1&0\end{bmatrix}}={\begin{bmatrix}(1\times 3+0\times 2+2\times 1)&(1\times 1+0\times 1+2\times 0)\\(-1\times 3+3\times 2+1\times 1)&(-1\times 1+3\times 1+1\times 0)\\\end{bmatrix}}={\begin{bmatrix}5&1\\4&2\\\end{bmatrix}}}
การคูณเมทริกซ์มีสมบัติต่อไปนี้
สมบัติการเปลี่ยนหมู่ :
(
A
B
)
C
=
A
(
B
C
)
{\displaystyle (AB)C=A(BC)}
สำหรับเมทริกซ์
A
{\displaystyle A}
ขนาด
k
×
m
{\displaystyle k\times m}
,
B
{\displaystyle B}
ขนาด
m
×
n
{\displaystyle m\times n}
, และ
C
{\displaystyle C}
ขนาด
n
×
p
{\displaystyle n\times p}
ใดๆ ("สมบัติการเปลี่ยนหมู่")
สมบัติการแจกแจงทางขวา :
(
A
+
B
)
C
=
A
C
+
B
C
{\displaystyle (A+B)C=AC+BC}
สำหรับเมทริกซ์
A
{\displaystyle A}
และ
B
{\displaystyle B}
ขนาด
m
×
n
{\displaystyle m\times n}
และ
C
{\displaystyle C}
ขนาด
n
×
p
{\displaystyle n\times p}
ใดๆ
สมบัติการแจกแจงทางซ้าย :
C
(
A
+
B
)
=
C
A
+
C
B
{\displaystyle C(A+B)=CA+CB}
สำหรับเมทริกซ์
A
{\displaystyle A}
และ
B
{\displaystyle B}
ขนาด
m
×
n
{\displaystyle m\times n}
และ
C
{\displaystyle C}
ขนาด
k
×
m
{\displaystyle k\times m}
ใดๆ
คำเตือน: การคูณเมทริกซ์นั้นไม่เหมือนกับการคูณจำนวนโดยทั่วไป เนื่องจากไม่มีสมบัติสลับที่ กล่าวคือ สำหรับเมทริกซ์
A
{\displaystyle A}
ขนาด
m
×
n
{\displaystyle m\times n}
และ
B
{\displaystyle B}
ขนาด
n
×
p
{\displaystyle n\times p}
ใดๆ
ถ้า
m
≠
p
{\displaystyle m\neq p}
แล้ว ผลคูณ
B
A
{\displaystyle BA}
ไม่มีนิยาม
แม้
m
=
p
{\displaystyle m=p}
แต่ถ้า
m
≠
n
{\displaystyle m\neq n}
แล้ว
A
B
{\displaystyle AB}
เป็นเมทริกซ์ขนาด
m
×
m
{\displaystyle m\times m}
ส่วน
B
A
{\displaystyle BA}
เป็นเมทริกซ์ขนาด
n
×
n
{\displaystyle n\times n}
ผลคูณทั้งสองจึงมีค่าไม่เท่ากันอย่างเห็นได้ชัด
แม้
m
=
n
=
p
{\displaystyle m=n=p}
แต่ส่วนมากแล้ว
A
B
{\displaystyle AB}
มักจะมีค่าไม่เท่ากับ
B
A
{\displaystyle BA}
ยกตัวอย่างเช่น
[
1
0
0
2
]
[
3
4
5
6
]
=
[
3
4
10
12
]
≠
[
3
8
5
12
]
=
[
3
4
5
6
]
[
1
0
0
2
]
{\displaystyle {\begin{bmatrix}1&0\\0&2\end{bmatrix}}{\begin{bmatrix}3&4\\5&6\end{bmatrix}}={\begin{bmatrix}3&4\\10&12\end{bmatrix}}\neq {\begin{bmatrix}3&8\\5&12\end{bmatrix}}={\begin{bmatrix}3&4\\5&6\end{bmatrix}}{\begin{bmatrix}1&0\\0&2\end{bmatrix}}}
เรากล่าวว่าเมทริกซ์
A
{\displaystyle A}
แอนติคอมมิวต์ (anticommute) กับเมทริกซ์
B
{\displaystyle B}
ถ้า
A
B
=
−
B
A
{\displaystyle AB=-BA}
เมทริกซ์ที่แอนติคอมมิวต์ซึ่งกันและกันมีความสำคัญมากในการเป็นตัวแทน ของพีชคณิตลี และพีชคณิตคลิฟฟอร์ด
ข้อสังเกต i = แถว หรือ row และ j = แถวตั้ง หรือ column
เมทริกซ์สลับเปลี่ยน คือเมทริกซ์ที่ได้จากการสลับสมาชิก จากแถวเป็นหลัก และจากหลักเป็นแถว ของเมทริกซ์ต้นแบบ เมทริกซ์สลับเปลี่ยนของของเมทริกซ์ A ขนาด m × n คือ A T ขนาด n × m ( หรือเขียนอยู่ในรูปแบบ A tr , หรือ t A , หรือ A' ) ซึ่ง A T [ i , j ] = A [ j , i ] ยกตัวอย่างเช่น
[
1
2
3
4
]
T
=
[
1
3
2
4
]
{\displaystyle {\begin{bmatrix}1&2\\3&4\end{bmatrix}}^{\mathrm {T} }\!\!\;\!=\,{\begin{bmatrix}1&3\\2&4\end{bmatrix}}}
เมทริกซ์จัตุรัส คือเมทริกซ์ที่มีขนาดแถวและหลักเท่ากัน โดยเขียนอยู่ในรูปเมทริกซ์ขนาด n × n ยกเว้น n = 1
เมทริกซ์ที่มีลักษณะพิเศษ[ แก้ ]
เมทริกซ์เอกลักษณ์ หรือ เมทริกซ์หน่วย I n ขนาด n คือเมทริกซ์ขนาด n × n ที่มีตัวเลขบนเส้นทแยงมุมเป็น 1 ซึ่งสมมติให้เส้นทแยงมุมนั้นลากจากสมาชิกบนซ้ายไปยังสมาชิกขวาล่าง (เฉียงลง) ส่วนสมาชิกที่เหลือเป็น 0 ทั้งหมด มีคุณสมบัติ MI n = M และ I n N = N สำหรับทุกๆเมทริกซ์ M ขนาด m × n และเมทริกซ์ N ขนาด n × k เช่นเมื่อ n = 3:
I
3
=
[
1
0
0
0
1
0
0
0
1
]
{\displaystyle \mathbf {I} _{3}={\begin{bmatrix}1&0&0\\0&1&0\\0&0&1\end{bmatrix}}}
เมทริกซ์สมมาตร คือเมทริกซ์จัตุรัสที่เมื่อสลับเปลี่ยน (transpose) แล้วจะได้ผลลัพธ์เป็นเมทริกซ์ตัวเอง นั่นก็คือ
A
T
=
A
{\displaystyle \mathbf {A} ^{\mathrm {T} }=\mathbf {A} }
หรือ
a
i
,
j
=
a
j
,
i
{\displaystyle a_{i,j}=a_{j,i}}
สำหรับทุกดัชนีที่ i และ j
เมทริกซ์สมมาตรเสมือน คือเมทริกซ์จัตุรัสที่เมื่อสลับเปลี่ยน (transpose) แล้วจะได้ผลลัพธ์เป็นเมทริกซ์ที่สมาชิกทุกตัวมีเครื่องหมายตรงข้ามจากเดิม นั่นคือ
A
T
=
−
A
{\displaystyle \mathbf {A} ^{\mathrm {T} }=-\mathbf {A} }
หรือ
a
i
,
j
=
−
a
j
,
i
{\displaystyle a_{i,j}=-a_{j,i}}
สำหรับทุกดัชนีที่ i และ j
เมทริกซ์เอร์มีเชียน คือเมทริกซ์จัตุรัสที่มีสมาชิกเป็นจำนวนเชิงซ้อน และเมทริกซ์สลับเปลี่ยนสังยุค (conjugate transpose) ของเมทริกซ์นั้นเท่ากับตัวเดิม นั่นหมายความว่าสมาชิกในแถวที่ i หลักที่ j กับสมาชิกในแถวที่ j หลักที่ i จะต้องเป็นสังยุคซึ่งกันและกัน ดังนี้
a
i
,
j
=
a
¯
j
,
i
{\displaystyle a_{i,j}={\overline {a}}_{j,i}}
หรือเขียนแทนด้วยการสลับเปลี่ยนสังยุคของเมทริกซ์ จะได้ว่า
A
∗
=
A
{\displaystyle \mathbf {A} ^{\ast }=\mathbf {A} }
เมทริกซ์โทพลิทซ์ คือเมทริกซ์จัตุรัสที่มีสมาชิกในแนวเส้นทแยงมุมหลักเป็นค่าเดียวกัน และแนวขนานเส้นทแยงมุมหลักเป็นค่าเดียวกันในแต่ละแนว นั่นคือ
a
i
,
j
=
a
i
+
1
,
j
+
1
{\displaystyle \,\!a_{i,j}=a_{i+1,j+1}}