ข้ามไปเนื้อหา

เหตุผลวิบัติ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

เหตุผลวิบัติ[1] (อังกฤษ: fallacy) หมายถึง การพิสูจน์โดยการอ้างเหตุผลที่มีน้ำหนักอ่อนเพื่อสนับสนุนในข้อสรุป การให้เหตุผลวิบัติมีความแตกต่างจากการให้เหตุผลแบบอื่น ๆ เนื่องจากหลายคนมักจะพบว่าการให้เหตุผลนั้นมีความน่าเชื่อถือในทางจิตวิทยา ซึ่งจะส่งผลให้คนจำนวนมากเกิดความเข้าใจผิดและยกเหตุผลอย่างผิด ๆ โดยใช้เป็นเหตุผลที่จะเชื่อในข้อสรุปนั้น การให้เหตุผลอาจจะกลายเป็น "เหตุผลวิบัติ" ได้ แม้ว่าข้อสรุปนั้นจะเป็นจริงหรือไม่ก็ตาม

เหตุผลวิบัติสามารถจำแนกออกได้ในหลายรูปแบบ ยกตัวอย่างเช่น เหตุผลวิบัติอย่างเป็นทางการ เกิดจากหลักตรรกะที่ไม่ถูกต้อง เหตุผลวิบัติอย่างไม่เป็นทางการ ไม่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาว่าผิดตามหลักตรรกะ และเหตุผลวิบัติเกี่ยวกับถ้อยคำ ซึ่งเกิดจากการใช้ภาษาชักนำให้เกิดความเข้าใจผิด เช่น การพูดกำกวม หรือการพูดมากโดยไม่จำเป็น

เหตุผลวิบัติมักจะมีความเกี่ยวข้องกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมา อันเนื่องมาจากเหตุผลที่ไม่เป็นไปตามหลักตรรกะอย่างถูกต้อง และเหตุผลวิบัติยังเกี่ยวข้องกับการสันนิษฐานด้วย

เหตุผลวิบัติมักจะดูเหมือนกับว่าเป็นสิ่งที่เลวร้ายอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม การยกเหตุผลมักจะมีลักษณะรูปแบบการเล่นสำนวนเพื่อให้เกิดความเคลือบแคลงในการยกเหตุผลในทางตรรกะ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นด้วยเจตนาหรือไม่ก็ตาม จะทำให้เหตุผลวิบัติยากที่จะสามารถตรวจจับได้ และส่วนประกอบของเหตุผลวิบัตินั้นก็อาจแพร่ขยายได้อีกเป็นเวลานาน

คำว่า เหตุผลวิบัติ อาจมีการเรียกในชื่ออื่น ๆ อีกเช่น เหตุผลลวง, ทุตรรกบท, ตรรกะวิบัติ, ปฤจฉวาที, มิจฉาทิฐิ, ความผิดพลาดเชิงตรรกะ, การอ้างเหตุผลบกพร่อง ฯลฯ เป็นต้น

เหตุผลวิบัติเชิงสาระ

[แก้]
อาริสโตเติล 384–322 ปีก่อนคริสตกาล

การจำแนก เหตุผลวิบัติเชิงสาระ นี้ใช้พื้นฐานจากงานเขียนเกี่ยวกับตรรกศาสตร์ ออร์กานอน (Organon) ในส่วน โซฟิสติคัลเรฟิวเทชันส์ (Sophistical Refutations) ของอาริสโตเติล

การละทิ้งข้อยกเว้น

[แก้]

การละทิ้งข้อยกเว้น (อังกฤษ: accident; ละติน: a dicto simpliciter ad dictum secundum quid) คือการวางนัยทั่วไปโดยไม่คำนึงถึงข้อยกเว้น ตัวอย่างเช่น

การกล่าวอ้าง: การใช้ปืนยิงบุคคลคืออาชญากรรม ตำรวจใช้ปืนยิงโจรผู้ร้าย ดังนั้นตำรวจก็เป็นอาชญากร
ปัญหาที่เกิด: การใช้ปืนยิงบุคคลไม่ใช่อาชญากรรมในสถานการณ์จำเพาะ เช่น สถานการณ์ป้องกันตัว หรือคุ้มครองผู้ที่ร้องขอการคุ้มครองตามกฎหมาย
การกล่าวอ้าง: การบุกรุกเข้าบ้านของคนอื่นนั้นผิดกฎหมาย นักดับเพลิงเข้าบ้านของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต ดังนั้นนักดับเพลิงจึงกำลังทำผิดกฎหมาย
ปัญหาที่เกิด: การปฏิบัติหน้าที่ของนักดับเพลิงไม่ได้ผิดกฎหมาย เพราะกฎหมายถือว่านักดับเพลิงมีหน้าที่ช่วยเหลือชีวิตของชาวบ้านในยามที่เกิดอัคคีภัยในอาคารและสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ จึงต้องให้นักดับเพลิงเข้าไปในบ้านคนอื่นได้

การสรุปเหมารวม

[แก้]

การสรุปเหมารวม (อังกฤษ: converse accident; ละติน: a dicto secundum quid ad dictum simpliciter) คือการยกกรณีจำเพาะต่าง ๆ รวมเข้าเป็นกรณีทั่วไป ตัวอย่างเช่น

การกล่าวอ้าง: ทุกคนที่ฉันเคยพบมีนิ้วมือสิบนิ้ว ดังนั้นทุกคนในโลกล้วนมีนิ้วมือสิบนิ้ว
ปัญหาที่เกิด: เซตย่อยคนที่เคยพบไม่สามารถเป็นตัวแทนของทั้งเซต บางคนอาจจะมีน้อยหรือมากกว่าสิบนิ้ว การแก้ปัญหานี้ทำได้โดยการเติมคำว่า ส่วนใหญ่ ลงไป
การกล่าวอ้าง: คนไทยเก่งภาษาอังกฤษ ดังจะเห็นได้จากคนกรุงเทพที่พูดภาษาอังกฤษได้ดี
ปัญหาที่เกิด: คนกรุงเทพไม่ได้เป็นตัวแทนคนไทยทั้งหมดในเรื่องความเก่งภาษาอังกฤษ

การสรุปนอกประเด็น

[แก้]

การสรุปนอกประเด็น (อังกฤษ: irrelevant conclusion; ละติน: ignoratio elenchi) คือการหันเหความสนใจออกจากข้อเท็จจริงในการโต้แย้ง มากกว่าที่จะจัดการกับปัญหาโดยตรง ตัวอย่างเช่น

การกล่าวอ้าง: สมชายเชื่อว่าหมูสามารถบินได้ ดังนั้นหมูจึงบินได้
ปัญหาที่เกิด: สมชายผู้ซึ่งเป็นบุคคลต้นแบบอาจคิดผิด และผู้พูดประโยคนี้ไม่ได้ให้เหตุผลว่าหมูบินได้อย่างไร (กรณีนี้คือ การอ้างปฐมาจารย์)

กรณีพิเศษของการสรุปนอกประเด็นมีดังนี้

  • การโจมตีตัวบุคคล (appeal to the person; argumentum ad hominem) คือการโจมตีที่ผู้ตั้งหรือผู้กล่าวประเด็นถกเถียง โดยไม่สนใจเนื้อหาของประเด็นนั้น ๆ เช่น
นาย ก: การดื่มสุราแล้วขับรถจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุในการขับขี่มากขึ้น ผมจึงรณรงค์ให้เมาไม่ขับ
นาย ข: แต่เมื่อวานซืน คุณก็ถูกตำรวจจับเพราะเมาแล้วขับนี่
ปัญหาที่เกิด: พฤติกรรมของเจ้าของประเด็นไม่มีผลต่อเนื้อหาของประเด็นนั้น ๆ ในทุกกรณี
  • การอ้างคนหมู่มาก (appeal to the majority; argumentum ad populum) คือการใช้ความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ยืนยันความถูกต้องของประเด็นต่างๆ
การกล่าวอ้าง: การลอกการบ้านไม่ผิด ใครๆก็ทำกันทั้งนั้น
ปัญหาที่เกิด: ความคิดเห็นหรือการกระทำของคนส่วนใหญ่อาจเป็นการกระทำที่ผิดได้ เนื่องจากการวัดว่าอะไรถูกและผิดใช้การคำนวณว่า การกระทำนั้น ๆ ส่งผลดีและผลร้ายต่อตัวเองหรือผู้อื่นอย่างไร
  • การอ้างความภักดี (appeal to loyalty) เกิดขึ้นเมื่อมีการโต้แย้งโดยอ้างความจงรักภักดีบางประเภทซึ่งเป็นคนละเรื่องกับประเด็นที่อภิปราย
    ตัวอย่าง
    ก กล่าวว่า 123
    ข สงสัยในคำกล่าวนั้น
    ใครก็ตามที่สงสัย ก ถือว่าไม่จงรักภักดี
    ฉะนั้น ข ผิด
ปัญหา คือ ไม่ว่า ข จะจงรักภักดีหรือไม่ ก็ไม่ได้หมายความว่า ข ผิด หรือ ก ถูกเสมอไป
  • การอ้างอำนาจ (appeal to force; argumentum ad baculum) เป็นการใช้อำนาจหรือกำลังที่มีอยู่ ข่มขู่คุกคามให้ประเด็นดังกล่าวอ่อนลงไป เช่น
นาย ก: ผมว่าเจ้านายควรจะจ่ายโบนัสให้เขานะครับ เขาต้องเลี้ยงดูลูกน้อยที่แบเบาะ
นาย ข: ผมไม่จ่ายโบนัสให้เขาหรอก แล้วถ้าคุณขออีก ผมจะไล่คุณออก
ปัญหาที่เกิด: การประทุษร้ายไม่มีผลกับตัวประเด็นในทุกกรณี เนื่องจากมันไม่ใช่เหตุผล
  • การอ้างปฐมาจารย์ (appeal to authority; argumentum ad verecundiam) เชื่อถือมิได้เสมอไป เนื่องจากบางเรื่องตัวอาจารย์เองก็อาจมีความลำเอียงหรืออคติเข้าข้างสิ่งหรือคนที่อาจารย์เองนับถีอหรือเชื่อถืออยู่ก็ได้ ซึ่งถือว่าเป็นความคิดเห็นเฉพาะบุคคลและมิอาจจะนับได้ว่าจริงหรือถูกต้องตามหลักเหตุผล เช่นเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนาต่าง ๆ อันมิสามารถพิสูจน์หรือยืนยันด้วยหลักฐานใด ๆ ที่เป็นรูปธรรมได้ (คนจะสร้างเสริมเติมแต่งศาสนาลัทธิอย่างไรก็ได้)
  • การขอความเห็นใจ (appeal to pity; argumentum ad misericordiam) คือการสร้างความรู้สึกเห็นอกเห็นใจเพื่อสนับสนุนประเด็นของตัวเอง เช่น
การกล่าวอ้าง: ที่นาย ข ค้ายาเสพติดเพราะเขาต้องการเงินจำนวนมากเพื่อรักษาพ่อแม่ของเขา การที่ตำรวจจับเขาติดคุกเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง
ปัญหาที่เกิด: การค้ายาเสพติดสร้างความเสียหายแก่สังคมในวงกว้าง ดังนั้นไม่ว่านาย ข จะมีแรงจูงใจอะไร ก็ไม่สามารถใช้เพื่อยืนยันความถูกต้องในการค้ายาเสพติดของเขา
  • การอ้างความไม่รู้ (appeal to ignorance; argumentum ad ignorantiam) คือการด่วนสรุปประเด็นเพราะยังไม่มีหลักฐานหรือพยานยืนยัน เช่น
การกล่าวอ้าง: เพราะไม่มีหลักฐานยืนยันว่าการสะกดจิตเป็นความจริง ดังนั้นการสะกดจิตเป็นสิ่งที่ไม่จริง
ปัญหาที่เกิด: เมื่อยังไม่สามารถหาหลักฐานหรือพยานได้ จึงยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าการสะกดจิตมีจริงหรือไม่

การยืนยันผลและการปฏิเสธเหตุ

[แก้]

การยืนยันผล (อังกฤษ: affirming the consequent) และการปฏิเสธเหตุ (อังกฤษ: denying the antecedent) คือการสรุปสมมติฐานโดยปราศจากเงื่อนไขสำคัญหรือเพียงพอมารองรับ ตัวอย่างเช่น

การยืนยันผล
การกล่าวอ้าง: คนที่เป็นหวัดมักจะไอ สมพงษ์กำลังไอ ดังนั้นเขาจึงเป็นหวัด
ปัญหาที่เกิด: อาการอื่นเช่นโรคหืดก็สามารถทำให้เกิดการไอได้ มิได้หมายความว่าคนที่ไอต้องเป็นหวัดเสมอไป
การกล่าวอ้าง: ถ้าฝนตกแล้วพื้นจะเปียก ตอนนี้พื้นเปียก แสดงว่าฝนเพิ่งตกไม่นานมานี้
ปัญหาที่เกิด: มีกรณีอื่นอีกมากที่สามารถทำให้พื้นเปียกได้โดยฝนไม่ตก เช่น การสาดน้ำ เป็นต้น
การปฏิเสธเหตุ
การกล่าวอ้าง: ถ้าฝนกำลังตก ท้องฟ้าจะมีเมฆมาก ขณะนี้ฝนไม่ตก ดังนั้นท้องฟ้าจึงไม่มีเมฆ
ปัญหาที่เกิด: ฝนตกเป็นเงื่อนไขเพียงพอของการมีเมฆบนท้องฟ้ามาก แต่มิได้หมายความว่าฝนไม่ตก แล้วท้องฟ้าจะไม่มีเมฆ

การทวนคำถาม

[แก้]

การทวนคำถาม (อังกฤษ: begging the question; ละติน: petitio principii) คือการสรุปโดยใช้ใจความของสมมติฐานมาเป็นคำตอบ ตัวอย่างเช่น

การกล่าวอ้าง: ผู้ใช้แอสไพรินมีความเสี่ยงต่อการติดยา เพราะว่าแอสไพรินเป็นสารเสพติดชนิดหนึ่ง
ปัญหาที่เกิด: สมมติฐานและข้อสรุปมีใจความอย่างเดียวกัน และข้อสรุปก็ไม่ได้ช่วยพิสูจน์สมมติฐาน ถ้ายอมรับสมมติฐานอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องให้เหตุผลเพื่อที่จะสรุปดังกล่าว

เหตุผลวิบัติหนึ่งที่เกี่ยวข้องคือ การให้เหตุผลวนเวียน (อังกฤษ: circular reasoning; ละติน: circulus in probando) คือข้อสรุปสองอย่างหรือมากกว่าที่ถูกใช้เป็นสมมติฐานรองรับซึ่งกันและกัน แต่ถ้าเกิดข้อใดข้อหนึ่งไม่เป็นจริง ข้อสรุปทั้งหมดจะกลายเป็นเท็จไปด้วย

การยกเหตุผลผิด

[แก้]

การยกเหตุผลผิด (อังกฤษ: false cause; ละติน: non sequitur) คือการสมมติอย่างผิด ๆ ว่าสิ่งหนึ่งทำให้เกิดสิ่งอื่น ตัวอย่างเช่น

การกล่าวอ้าง: ฉันได้ยินเสียงฝนตกข้างนอก แสดงว่าไม่มีแสงแดดส่อง
ปัญหาที่เกิด: การสรุปนี้ผิดเพราะแสงแดดสามารถส่องได้ยามฝนตก (ดูที่ ฝนตกแดดออก)

กรณีพิเศษของการยกเหตุผลผิดมีดังนี้

การกล่าวอ้าง: ฝนตกแล้วรถก็เสีย ดังนั้นฝนตกทำให้รถเสีย
ปัญหาที่เกิด: ไม่มีความเชื่อมโยงระหว่างสองเหตุการณ์ เหตุการณ์ทั้งสองที่เกิดร่วมกัน ไม่ได้เป็นเหตุผลซึ่งกันและกัน
การกล่าวอ้าง: วัวตายเป็นจำนวนมากในฤดูร้อน และไอศกรีมก็นิยมบริโภคมากในฤดูร้อน ดังนั้นการบริโภคไอศกรีมในฤดูร้อนเป็นการฆ่าวัว
ปัญหาที่เกิด: ไม่มีสมมติฐานที่บอกว่าการบริโภคไอศกรีมทำให้วัวตาย การตายและการบริโภคอาจไม่เกี่ยวข้องกัน หรือมีสาเหตุอย่างอื่นที่ทำให้เกิดเงื่อนไขทั้งสองนี้ เช่นอากาศร้อน

การสรุปว่าบุคคลที่ครอบครองที่นาต้องเป็นชาวนาเท่านั้น ซึ่งในความเป็นจริงใครก็มีสิทธิเป็นเจ้าของที่นาได้โดยมิจำเป็นต้องเป็นชาวนา อีกทั้งผู้พูดเองก็มิเคยเห็นเจ้าของที่นาคนนั้นไปทำนาเลยสักครั้ง ดังนั้นการจะสรุปตามอคติไปเองตามความเชื่ออันเลื่อยลอยปราศจากเหตุผลมารองรับนับเป็นตรรกะวิบัติ ซึ่งทำลายความน่าเชื่อถือของผู้ด่วนสรุปเอาเอง

การตั้งประเด็นซ้อน

[แก้]

การตั้งประเด็นซ้อน (อังกฤษ: complex question; ละติน: plurium interrogationum) คือการตั้งประเด็นคำถามหลายอย่างลงในคำถามเดียว ซึ่งลวงให้ผู้ตอบตอบอย่างไม่ระมัดระวัง ตัวอย่างเช่น

การกล่าวอ้าง: คุณเลิกทำร้ายภรรยาของคุณหรือยัง
ปัญหาที่เกิด: ไม่ว่าผู้ตอบจะตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ ก็จะนำไปสู่การยอมรับผิดว่าเคยทำร้ายภรรยาเหมือนกัน การตอบอย่างไม่หลงกลอาจตอบว่า ผมไม่เคยทำร้ายภรรยา
การกล่าวอ้าง: เธอยังลอกข้อสอบอยู่ใช่ไหม
ปัญหาที่เกิด: ไม่ว่าผู้ตอบจะตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ ก็จะนำไปสู่การยอมรับผิดว่าเคยลอกข้อสอบ การตอบอย่างไม่หลงกลอาจตอบว่า ผมไม่เคยลอกข้อสอบ

การทับถมจุดอ่อน

[แก้]

การทับถมจุดอ่อน (อังกฤษ: straw man) คือการเบี่ยงประเด็นแนวคิดของคู่กรณีไปสู่การโต้แย้งที่ง่ายกว่า (มีจุดอ่อนมากกว่า)[2] ตัวอย่างเช่น

นาย ก: วันที่มีแดดจัดนั้นเป็นเรื่องดี
นาย ข: ถ้าทุกวันมีแดดจัด เราก็จะไม่มีฝน และเมื่อเราไม่มีฝน เราก็จะไม่มีน้ำ สิ่งมีชีวิตก็จะตาย ดังนั้นสิ่งที่คุณคิดจึงผิด
ปัญหาที่เกิด: นาย ข ได้เบี่ยงประเด็นแนวคิดของนาย ก โดยการทับถมแนวคิดอื่นจนสุดโต่ง ซึ่งนาย ก ไม่ได้มีแนวคิดว่า ทุกวันมีแดดจัดเป็นเรื่องดี

เหตุผลวิบัติเชิงวาจา

[แก้]

เหตุผลวิบัติเชิงวาจา มักจะเป็นการสรุปที่ใช้คำศัพท์ต่าง ๆ ไม่สมบูรณ์หรือกำกวม ทำให้เข้าใจความหมายผิดไปหรือไม่กระจ่างชัด

ความเคลือบคลุม

[แก้]

ความเคลือบคลุม (อังกฤษ: equivocation) คือการใช้คำเดียวกันที่สื่อถึงความหมายต่างกันสองอย่างหรือมากกว่าในตรรกบท ตัวอย่างเช่น

การกล่าวอ้าง: หินทุกก้อนมักจะแข็ง สมใจเป็นคนใจหิน ดังนั้นสมใจก็เป็นคนใจแข็งด้วย
ปัญหาที่เกิด: คำว่า ใจหิน กับ ใจแข็ง มีความหมายในทางอื่น

การตีความหลายนัย

[แก้]

การตีความหลายนัย (อังกฤษ: amphibology, amphiboly) คือผลจากประโยคที่มีโครงสร้างไวยากรณ์กำกวม ทำให้เกิดการตีความได้มากกว่าหนึ่งอย่าง ตัวอย่างเช่น

การกล่าวอ้าง: เยาวชนไม่ควรออกจากบ้านหลังสี่ทุ่ม เพราะอาจทำให้เกิดอันตราย
ปัญหาที่เกิด: ประโยคนี้ทำให้ตีความได้หลายอย่าง เช่น เยาวชนสามารถออกจากบ้านก่อนสี่ทุ่ม, เยาวชนอาจได้รับอันตราย, เยาวชนอาจก่อความอันตราย

การลงน้ำหนัก

[แก้]

การลงน้ำหนัก (อังกฤษ: accent) คือการเน้นคำบางคำในประโยค มักปรากฏในการพูด อาจทำให้กลายเป็นการยกย่องหรือการดูถูกก็ได้ ตัวอย่างเช่น

ประโยค: เขาเป็นนักเปียโนที่ดีพอประมาณคนหนึ่ง
"เขา" เป็นนักเปียโนที่ดีพอประมาณคนหนึ่ง เป็นการเน้นเขาเพื่อเปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ
เขา "เป็น" นักเปียโนที่ดีพอประมาณคนหนึ่ง เป็นการยืนยันว่าเขาเป็นเช่นนั้น
เขาเป็น "นักเปียโน" ที่ดีพอประมาณคนหนึ่ง เป็นการยกความโดดเด่นในการเล่นเปียโนมากกว่าเครื่องดนตรีชนิดอื่น
เขาเป็นนักเปียโน "ที่ดี" พอประมาณคนหนึ่ง เป็นการยืนยันว่าเขาเล่นดี หรือถึงขั้นประทับใจ
เขาเป็นนักเปียโนที่ดี "พอประมาณ" คนหนึ่ง เป็นการยืนยันว่าเล่นได้พอประมาณ ยังต้องฝึกฝนขึ้นไปอีก
เขาเป็นนักเปียโนที่ดีพอประมาณ "คนหนึ่ง" เป็นการเน้นว่าเขาเป็นแค่คนหนึ่ง ยังมีคนอื่นอีกมาก

การใช้คำฟุ่มเฟือย

[แก้]

การใช้คำฟุ่มเฟือย (อังกฤษ: proof by verbosity; ละติน: argumentum verbosum) คือการพยายามโน้มน้าวให้มีความรู้สึกท่วมท้นยากจะปฏิเสธในการกล่าวอ้าง ทำให้การกล่าวอ้างมีความรู้สึกน่าจะมีเหตุผล ซึ่งอาจดูผิวเผินว่าเหมือนวิจัยค้นคว้ามาเป็นอย่างดีและใช้ความอุตสาหะอย่างมากเพื่อคลายปัญหาและตรวจสอบข้อเท็จจริงที่รองรับ ปกติมักใช้คำศัพท์เฉพาะทางจำนวนมากและดึงดูดความสนใจไปยังผลลัพธ์ที่เคลือบคลุม เพื่อให้ผู้ฟังยอมรับการกล่าวอ้างของผู้พูด

ดูเพิ่ม

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. ศัพท์บัญญัติ ราชบัณฑิตยสถาน เก็บถาวร 2015-04-29 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (สืบค้นออนไลน์)
  2. Douglas Walton, Relevance in Argumentation (Taylor & Francis e-Library, 2009), p. 20

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]
pFad - Phonifier reborn

Pfad - The Proxy pFad of © 2024 Garber Painting. All rights reserved.

Note: This service is not intended for secure transactions such as banking, social media, email, or purchasing. Use at your own risk. We assume no liability whatsoever for broken pages.


Alternative Proxies:

Alternative Proxy

pFad Proxy

pFad v3 Proxy

pFad v4 Proxy